Saturday, November 17, 2012

ฟักทอง..........ช่วยคุณได้

ฟักทอง..........ช่วยคุณได้



ฟักทอง เป็นพืชผักสวนครัวเก่าแก่ที่คนโบราณรู้จักดี

และนำมาใช้ประโยชน์ในการประกอบอาหารทั้งคาวและหวานมากมายหลายชนิด มีลักษณะเป็นพืชเถาเลื้อย ปลูกง่ายให้ผลเร็ว

โดยใช้เมล็ดปลูกในดินร่วนหรือดินปนทราย

ฟักทองจะเจริญเติบโตแตกยอดผลิดอก ออกผลอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในหน้าฝน

และเคล็ดลับที่จะทำให้ฟักทองออกผลดก ต้องหมั่นเด็ดยอดไปทำอาหารบ่อย ๆ

คนส่วนใหญ่นิยมรับประทานฟักทองเป็นผัก
• ยอดอ่อน
• ใบ และ
• ดอกตูม

นำไปลวกหรือต้มให้สุกรับประทานร่วมกับน้ำพริก ยอด ดอก

รวมถึงผลของฟักทอง
• สามารถนำไปใช้ในแกงเลียง
• แกงส้ม
• ผัดใส่ไก่หรือหมู ใส่ในแกงแคหรือแกงลาว แกงอ่อม แกงใส่กะทิ ต้มกะทิ แกงเผ็ด

รวมทั้งมีการดัดแปลงเป็นผักใส่ในแกงไตปลาของภาคใต้

นอกจากนี้ยังทำเป็นของหวานได้ เช่น

• ฟักทองเชื่อม
• สังขยาฟักทองและฟักทองแกงบวบ
• ฟักทองสังขยา
• ฟักทองนึ่งมะพร้าวเกลือ
• บัวลอยฟักทอง

อาหารว่าง เช่น

• ข้าวเกรียบฟักทอง
• น้ำฟักทอง

ส่วนเมล็ด ฟักทอง

• นำมาอบ หรือคั่วกับเกลือ ทานเป็นของขบเคี้ยว
• และส่วนเมล็ด ของฟักทองก็มีแป้งและน้ำมัน รสมัน

ประโยชน์ที่ได้จากฟักทอง

รวมถึงสารอาหารบำรุงร่างกายต่างๆ ที่สำคัญได้แก่

• วิตามินบี
• วิตามินเอ
• วิตามินซี และ
• ธาตุฟอสฟอรัส

มีสารสังเคราะห์จากพืชประเภทแคโรทีนอยด์ เช่น

เบต้าแคโรทีน ซึ่งมีคุณสมบัติเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ มีอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง มีส่วนช่วยลดโอกาสการเกิดมะเร็งได้

หากกินฟักทองทั้งเปลือกจะได้ฤทธิ์ทางยา

สามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาล ในเส้นเลือด

• ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต
• นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงตับ ไต นัยน์ตา และ
• สร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป

ในบางครั้งบางเวลาเราอาจจะใช้เมล็ดฟักทอง

ถ่าย พยาธิลำไส้ พยาธิตัวตืด หรือนำไปคั่วกินเป็นอาหารว่าง และสามารถป้องกันการเกิดนิ่ว ก็ให้รับประทานน้ำมันละหุ่งระบายตามเพื่อ ให้ถ่ายพยาธิออกมาได้ เนื่องจากเมล็ดฟักทองมีแร่ธาตุฟอสฟอรัส สังกะสีสูง

ฟักทองเป็นพืชผักที่มีกากใยมากพอสมควร

• ช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น และไม่ทำให้อ้วน เพราะมีแคลอรีไม่สูงมาก

• ผู้ต้องการมีรูปร่างสวยงามควรบริโภคเป็นประจำและฟักทองยังมีวิตามินสูง

• ซึ่งช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังทำให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล และสายตาอีกด้วย

ใครจะทราบว่าฟักทองจะเหมาะสำหรับสตรีหลังคลอดบุตร

เนื่อง จากขาดธาตุฟอสฟอรัสและที่สำคัญเสี่ยงกับการเกิดหน้าท้องลาย มีฤทธิ์อุ่น ช่วยย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลัง ลดอาการอักเสบ แก้ปวด

ข้อควรระวังคนที่กระเพราะร้อน

(คือ มีอาการกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ปัสสาวะน้อย ท้องผูก ถ้าร้อนมากขึ้นไปอีก อาจพบแผลใน ช่องปาก ปากเปื่อย เหงือกบวมแดง ชอบทานน้ำเย็น)

ไม่ควรกินฟักทองให้มาก เพราะฟักทองจัดเป็นยาาร้อน แม้คนปกติเอง ถ้ากินครั้งเดียวมากๆ ก็อาจจะทำให้มี อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้

จากสรรพคุณที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้ มีคุณประโยชน์มากมายและหลายหลาก แล้วคุณยังจะรีรอที่จะหาฟักทองมารับประทานกันอีกหรือ?



ข้อมูลดีๆจาก.teenee.com

เทคนิคช่วยผสมเกสรฟักทอง

     เทคนิคช่วยผสมเกสรฟักทอง
         
http://www.thaimuslim.com/Farmland/pics/20100222759_02.jpg

     ดอกฟักทอง ออกเป็นดอกเดี่ยวอยู่ตามข้อใบแยกเพศ มีกลีบเลี้ยงสีเขียว กลีบดอกมีสีเหลือง 5 กลีบ ดอกตัวเมีย จะมีรังไข่กลมยาว 2-5 เซนติเมตร ลักษณะคล้ายผลฟักทองขนาดเล็ก ส่วนของยอดเกสรมี 2-5 แฉก ดอกฟักทองตัวเมีย

               การสังเกตดอกตัวเมียและตัวผู้ของฟักทอง
     ในระยะแรกของการเจริญเติบโต ฟักทองจะมีแต่ดอกตัวผู้ ส่วนดอกตัวเมียจะเริ่มมีตั้งแต่ข้อที่ 12-15 เป็นต้นไป ส่วนใหญ่ดอกที่เกิดปลายเถาและเถาแขนงจะเป็นดอกตัวเมีย
     การต่อดอก โดยปลิดกลีบดอกตัวผู้ออกแล้วนำไปเคาะให้ละอองเกสรตกลงบนดอกตัวเมีย

               การต่อดอกฟักทอง

     ดอกตัวเมียและตัวผู้ของฟักทองจะเริ่มบานในช่วงเวลา 3.30-6.00 น. อับละอองเรณูของฟักทองจะแตกระหว่างเวลา 21.00-3.00 น. ละอองเรณูจะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 16 ชั่วโมง หลังอับละอองเรณูแตกยอดเกสรตัวเมียจะพร้อมรับการผสมเกสรก่อนดอกบาน 2 ชั่วโมง และหลังดอกบาน 10 ชั่วโมง ดังนั้นในช่วงเวลาที่มีความเหมาะสมต่อการช่วยผสมเกสรฟักทอง คือ ตั้งแต่เวลา 6.00-9.00 น.
     เมื่อดอกฟักทองกำลังบานให้เลือกดอกตัวผู้ เด็ดมาแล้วปลิดกลีบดอกออกให้หมด นำไปเคาะละอองเกสรตัวผู้ให้ตกลงบนดอกตัวเมีย ถ้าติดผลจะให้ผลอ่อน ถ้าไม่ติดผลดอกตัวเมียจะฝ่อไป วิธีนี้เรียกว่า "การต่อดอก"

               การล่อแมลงช่วยผสมเกสร

     อีกวิธีหนึ่งที่เกษตรกรผู้ปลูกฟักทอง จ.สกลนคร แนะนำเทคนิคง่ายๆ คือ เอานมผงที่ใช้เลี้ยงทารกผสมน้ำพอประมาณ พ่นใส่ดอกฟักทองในระยะที่ดอกกำลังบาน เพื่อล่อแมลงมาช่วยผสมเกสร วิธีนี้ช่วยให้ฟักทองติดผลทุกเถา โดยไม่ต้องต่อดอก


ที่มา:รักบ้านเกิด

ประโยชน์ของฟักทอง สรรพคุณทางยาเพื่อสุขภาพ

ฟักทองประโยชน์ของฟักทอง สรรพคุณทางยาเพื่อสุขภาพ

ฟักทองถือเป็นพืชในตระกูลมะระชนิดไม้เถาขนาดใหญ่ ผิวผลขณะยังอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่จะแล้วจะมีสีเขียวสลับเหลือง ผิวไม่เรียบขรุขระเปลือกมีลักษณะแข็ง เนื้อในสีเหลืองมีเส้นใยอยู่ภายในเป็นสีเหลืองนิ่มพร้อมกับเมล็ดสีขาวแบน ๆ ติดอยู่ ประโยชน์ของฟักทองนั้นมีมากมายสามารถนำมาใช้กินบำรุงร่างกายและรักษาโรคได้ดี
pumpkin

ประโยชน์ของฟักทอง

สรรพคุณทางยาของฟักทอง

- เมล็ดสามารถขับพยาธิตัวตืด ขับปัสสาวะ และบำรุงร่างกายได้ดี
- ราก บำรุงร่างกาย แก้ไอ ถ่อนพิษของฝิ่นได้
- น้ำมันจากเมล็ดบำรุงประสาทได้ดี
- เยื่อกลางผลสามารถนำมาพอกแก้อาการฟกช้ำ ปวด อักเสบ

ประโยชน์ของฟักทองทางโภชนาการ

- เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูงมาก มีฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง สารสีเหลืองและโปรตีน
- ใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ
- ดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย
- เมล็ด มีน้ำมัน แป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน


เกล็ดเล็กเกล็ดน้อยประโยชน์ของเมล็ดฟักทอง ในเมล็ดฟักทองมีสารชื่อ คิวเคอร์บิติน (cucurbitine) ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี วิธีใช้ให้เตรียมเมล็ดฟักทองประมาณ 60 กรัม ทุบให้แตกละเอียดนำมาผสมกับน้ำตาล นม และน้ำเติมลงไปจนได้ประมาณ 500 มิลลิลิตร แบ่งรับประทาน 3 ครั้ง ห่างกันทุก 2 ชั่วโมงจะฆ่าพยาธิตัวตืดได้ หลังจากนั้นให้ยาแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง ควรรับประทานยาระบายน้ำมันละหุ่ง 2 ช้อนโต๊ะช่วยในการขับถ่าย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.vcharkarn.com

คุณค่าทางโภชนาการฟักทอง



       มีสารอาหารบำรุง ร่างกายมากมายเช่น วิตามินเอ บี ซี และธาตุฟอสฟอรัส และที่สำคัญสารเบต้าแคโรทีน ที่มีอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทองยังมีส่วนช่วยลดโอกาสการเกิดมะเร็งได้ หาก กินฟักทองทั้งเปลือกจะได้ฤทธิ์ทางยา สามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเส้นเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงตับ ไต นัยน์ตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป นอกจากนี้ฟักทองยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล เหมาะสำหรับหลังคลอดบุตร ที่ขาดธาตุฟอสฟอรัส และเสี่ยงกับการเกิดหน้าท้องลาย


น้ำฟักทอง

              เมล็ดฟักทองมีสารชื่อ คิวเคอร์บิติน (cucurbitine) มีฤทธิ์ฆ่าพยาธิตัวตืดได้ เตรียม ได้จากเมล็ดฟักทองประมาณ 60 กรัม ทุบให้แตก ผสมกับน้ำตาล นม และน้ำเติมลงไปจนได้ประมาณ 500 มิลลิลิตร แบ่งรับประทาน 3 ครั้ง ห่างกันทุก 2 ชั่วโมง หลังจากให้ยาแล้วประมาณ 2 ชั่วโมงให้รับประทานยาระบายน้ำมันละหุ่ง 2 ช้อนโต๊ะ ส่วน เนื้อฟักทองมีแป้งและน้ำตาลประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ เส้นใย 1 เปอร์เซ็นต์ และมีวิตามินซีในปริมาณสูง นอกจากนั้นยังมีเบต้าแคโรทีนในปริมาณที่สูงมากเช่นกัน

ฟักทอง เป็นพืชตระกูลมะระ จัดเป็นไม้เถาขนาดใหญ่ เลื้อยตามดิน ยาว 5-12 เมตร เถา ก้านใบ แผ่นใบ ก้านดอก กลีบเลี้ยง และผลอ่อนมีขนยาว ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยว เว้าเป็นหยัก ดอกเดี่ยว ดอกตัวผู้กับตัวเมีย แยกกันแต่อยู่ในเถาเดียวกัน ผิวผลเมื่อยังอ่อนออกสีเขียว เมื่อแก่จะเป็นสีเขียวสลับเหลือง ผิวขรุขระ เปลือกแข็ง เนื้อในสีเหลือง ไส้เส้นใยสีเหลืองนิ่ม มีเมล็ดสีขาวแบน ๆ ติดอยู่จำนวนมาก


แนะนำส่วนผสมของน้ำฟักทอง

ฟักทองนึ่งสุก 1 ถ้วย
น้ำสะอาด 3 ถ้วย
น้ำตาลทราย 100 กรัม หรือน้ำเชื่อม 1 ถ้วยตวง
เกลือป่น

วิธีทำ

ปอก เปลือกฟักทอง นึ่งให้สุก ใส่เครื่องปั่นเติมน้ำ ปั่นให้ละเอียด เทใส่ภาชนะนำไปตั้งไฟ เติมน้ำตาลทราย เกลือป่น ชิมรสตามใจชอบ กรองด้วยผ้าขาวบางใส่หม้อตั้งไฟพอเดือด ยกลง จะได้น้ำฟักทองสีเหลือง มีรสหวานมัน เทใส่ขวด นำไปแช่เย็น หรือนำฟักทองไปนึ่งให้สุก แล้วนำมาใส่เครื่องปั่น เติมน้ำ แล้วปั่นให้ละเอียด นำไปตั้งไฟต้มจนเดือด เติมน้ำเชื่อม และเกลือลงไป ชิมรส เมื่อได้รสชาติตามชอบแล้วยกลงกรองด้วยผ้าขาวบาง เราก็จะได้น้ำฟักทองสีเหลืองน่ารับประทาน

คุณค่าทางโภชนาการ

เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูงมาก มีฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง สารสีเหลือง โปรตีน
ใบ อ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ ดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย เมล็ด มีน้ำมัน แป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน

สรรพคุณ

เมล็ด ขับพยาธิตัวตืด ขับปัสสาวะ และบำรุงร่างกาย
ราก บำรุงร่างกาย แก้ไอ ถอนพิษของฝิ่น
น้ำมันจากเมล็ด บำรุงประสาท
เยื่อกลางผล พอกแก้ฟกช้ำ แก้ปวดอักเสบ

ในทาง โหราศาสตร์ได้จัดแบ่งราศีเกิดของคนเราตามการหมุนของดวงอาทิตย์ไว้ 12 ราศี แต่ละราศีจะเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตของแต่ละคน และมีผลต่อร่างกายของคนเรา ซึ่งประกอบไปด้วยธาตุทั้ง 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ บุคคลแต่ละคนจะมีธาตุหนึ่งธาตุใดในร่างกายเด่นชัดออกมา และจะแสดงออกเป็นบุคลิก นิสิยใจคอ อารมณ์ รวมทั้งพฤติกรรมการเลือกบริโภคอาหารให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล ได้


ธาตุดิน ได้แก่ผู้ที่เกิดราศีพฤษภ ราศีกันย์ และราศีธนู มักจะชอบดื่มน้ำผักและผลไม้ที่มีรสฝาด รสหวาน รสมัน และรสเค็ม

รสฝาด เช่น น้ำฝรั่ง น้ำมะตูม น้ำกระท้อน น้ำมะกอก น้ำมะขามป้อม น้ำลูกหว้า
รสหวาน เช่น น้ำแตงโม น้ำมะละกอ น้ำกล้วยหอม น้ำขนุน น้ำเงาะ น้ำน้อยหน่า น้ำละมุดฝรั่ง น้ำลำใย น้ำอ้อย
รสมัน เช่น น้ำกระจับ น้ำข้าวโพด น้ำฟักทอง น้ำแห้ว
รสเค็ม เช่น เกลือ

                                                              

          ปัจจุบัน กระแสนิยมน้ำสมุนไพร ซึ่งเป็นน้ำดื่มที่ได้จากการใช้ส่วนประกอบต่างๆ ของพืช เช่น ผลไม้ หรือ ธัญพืชต่างๆ นำมาแปรรูปให้เหมาะสมตามฤดูกาล การเตรียมน้ำสมุนไพรไว้ดื่มเองนั้น ราคาจะย่อมเยา สะอาด ปราศจากสารพิษรสชาติจะถูกปากของแต่ละบุคคล นอกจากนี้คุณค่าและประโยชน์ของน้ำสมุนไพรยังเชื่อว่ามีมากมายหลายประการ โดยเฉพาะน้ำสมุนไพรให้คุณค่าและประโยชน์ต่อร่างกายโดยตรง มีผลต่อระบบการย่อยอาหาร เจริญอาหาร ให้พลังงาน ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ร่างกายกระชุ่มกระชวย และอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ และยังช่วยบำรุงเส้นผม ช่วยควบคุมไขมันส่วนที่เกิดจากการบริโภคเนื้อสัตว์ ทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสารอาหารในน้ำสมุนไพรช่วยควบคุมระบบการทำงานของร่างกายทำให้สาร อาหารชนิดอื่นได้ประโยชน์อย่างเต็มที่

ควร เลือก สมุนไพรสด เลือกที่สดๆ เก็บจากต้นใหม่ๆ ตามฤดูกาล สีสรรเป็นธรรมชาติตามชนิดของสมุนไพร ไม่มีรอยช้ำเน่าเสีย ความสดทำให้มีรสชาติดี มีคุณค่ามากกว่า หากใช้สมุนไพรแห้ง การซื้อควรดูที่ความสะอาด สีสรรไม่คล้ำมาก เช่น กระเจี๊ยบแห้ง ควรมีสีแดงคล้ำแต่ไม่ดำ มะตูมแห้งควรมีสีน้ำตาลออกแดง จะต้องไม่มีกลิ่นของปัสสาวะ หรือ อุจจาระสัตว์ เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้รูป กลิ่น สี ของน้ำสมุนไพรเปลี่ยนไป


อย่าง ไรก็ตาม น้ำสมุนไพรบางชนิดดื่มลำบากในช่วงแรก อาจทำให้รู้สึกอึดอัด เนื่องจากรสชาติไม่ค่อยตรงกับรสนิยมของผู้ดื่ม วิธการดื่มที่ดี ควรดื่มแบบจิบช้าๆ และควรดื่มทันทีที่ปรุงเสร็จ เพื่อให้ได้คุณค่าทางอาหารและยามากกว่าปล่อยทิ้งไว้นานแล้วดื่ม เพราะทำให้คุณค่าลดลง นอกจากนี้การดื่มน้ำสมุนไพรชนิดเดียวกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการสะสมสารบางชนิดที่มีฤทธิ์ต่อร่างกาย และพบว่าการดื่มน้ำสมุนไพรร้อนๆ ที่มีอุณหภูมิ 60 องศา เซลเซียสขึ้นไปทำให้เยื่อบุผิวหลอดอาหารเสียสภาพภูมิคุ้มกันเฉพาะที่ และอาจทำให้มีการดูดซึมสารก่อมะเร็งหรือจุลินทรีย์ปนเปื้อนได้ง่าย


ข้อมูล :
http://www.horapa.com

โจ๊กฟักทองฉบับเกาหลีเจ้าค่ะ



โจ๊กฟักทองฉบับเกาหลี

 
เมื่อคืนนั่งดูรายการ family outing ของเกาหลีมีอาหารชนิดหนึ่งที่ทำง่ายไม่ยากน่ากินและมีประโยชน์เลยนำมาฝากจ้า

วิธีทำ

1. เตรียมหั่นฟักทอง
2.เอาไปปั่น จริงๆ ไม่ต้องปั่นก็ได้ แต่ต้มคนจนฟักทองละลาย
3.แป้งข้าวเหนียว
4.ส่วนหนึ่งเอาไปไปเคี่ยวผสมกับฟักทองที่ต้มอยู่แล้วใส่น้ำไม่ต้องมาก   อีกส่วนหนึ่งเอามาปั้นเหมือนเม็ดบัวลอย แต่ปั้นให้เม็ดใหญ่กว่า    แล้วก็เอาไปต้ม เคี่ยวผสมกันไปสักพัก พอได้ที่ก็ใส่น้ำตาลทราย ชิมว่ารสชาดไม่หวานมากไป แล้วนำเอาเม็ดบัวลอยไปใส่ต้มผสมกันเท่านี้ก็จะได้โจ๊กฟักทองเพื่อสุขภาพแล้วครับท่าน
ทำก็ง่ายใช่มั้ย ลองเอาไปทำดูนะ  ดูเหมือนว่าฟักทองเป็นสมุนไพรที่ช่วยลดความดันโลหิตได้ด้วยนะ  ไม่ได้โม้


ประโยชน์ของฟักทอง


ฟักทอง เป็นพืชผักสวนครัวเก่าแก่ที่คนโบราณรู้จักดี
และนำมาใช้ประโยชน์ในการประกอบอาหารทั้งคาวและหวานมากมายหลายชนิด มีลักษณะเป็นพืชเถาเลื้อย ปลูกง่ายให้ผลเร็ว

โดยใช้เมล็ดปลูกในดินร่วนหรือดินปนทราย

ฟักทองจะเจริญเติบโตแตกยอดผลิดอก ออกผลอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในหน้าฝน

และเคล็ดลับที่จะทำให้ฟักทองออกผลดก ต้องหมั่นเด็ดยอดไปทำอาหารบ่อย ๆ

คนส่วนใหญ่นิยมรับประทานฟักทองเป็นผัก
ยอดอ่อน
ใบ และ
ดอกตูม

นำไปลวกหรือต้มให้สุกรับประทานร่วมกับน้ำพริก ยอด ดอก

รวมถึงผลของฟักทอง

สามารถนำไปใช้ในแกงเลียง
แกงส้ม
ผัดใส่ไก่หรือหมู ใส่ในแกงแคหรือแกงลาว แกงอ่อม แกงใส่กะทิ ต้มกะทิ แกงเผ็ด

รวมทั้งมีการดัดแปลงเป็นผักใส่ในแกงไตปลาของภาคใต้

นอกจากนี้ยังทำเป็นของหวานได้ เช่น

ฟักทองเชื่อม
สังขยาฟักทองและฟักทองแกงบวบ
ฟักทองสังขยา
ฟักทองนึ่งมะพร้าวเกลือ
บัวลอยฟักทอง

อาหารว่าง เช่น

ข้าวเกรียบฟักทอง
น้ำฟักทอง

ส่วนเมล็ด ฟักทอง

นำมาอบ หรือคั่วกับเกลือ ทานเป็นของขบเคี้ยว
และส่วนเมล็ด ของฟักทองก็มีแป้งและน้ำมัน รสมัน

ประโยชน์ที่ได้จากฟักทอง
รวมถึงสารอาหารบำรุงร่างกายต่างๆ ที่สำคัญได้แก่

วิตามินบี
วิตามินเอ
วิตามินซี และ
ธาตุฟอสฟอรัส

มีสารสังเคราะห์จากพืชประเภทแคโรทีนอยด์ เช่น

เบต้าแคโรทีน ซึ่งมีคุณสมบัติเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ มีอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง มีส่วนช่วยลดโอกาสการเกิดมะเร็งได้

หากกินฟักทองทั้งเปลือกจะได้ฤทธิ์ทางยา

สามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาล ในเส้นเลือด

ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต
นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงตับ ไต นัยน์ตา และ
สร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป

ในบางครั้งบางเวลาเราอาจจะใช้เมล็ดฟักทอง
ถ่ายพยาธิลำไส้ พยาธิตัวตืด หรือนำไปคั่วกินเป็นอาหารว่าง และสามารถป้องกันการเกิดนิ่ว ก็ให้รับประทานน้ำมันละหุ่งระบายตามเพื่อ ให้ถ่ายพยาธิออกมาได้ เนื่องจากเมล็ดฟักทองมีแร่ธาตุฟอสฟอรัส สังกะสีสูง

ฟักทองเป็นพืชผักที่มีกากใยมากพอสมควร

ช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น และไม่ทำให้อ้วน เพราะมีแคลอรีไม่สูงมาก

ผู้ต้องการมีรูปร่างสวยงามควรบริโภคเป็นประจำและฟักทองยังมีวิตามินสูง

ซึ่งช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังทำให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล และสายตาอีกด้วย

ใครจะทราบว่าฟักทองจะเหมาะสำหรับสตรีหลังคลอดบุตร
เนื่องจากขาดธาตุฟอสฟอรัสและที่สำคัญเสี่ยงกับการเกิดหน้าท้องลาย มีฤทธิ์อุ่น ช่วยย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลัง ลดอาการอักเสบ แก้ปวด

ข้อควรระวังคนที่กระเพราะร้อน

(คือมีอาการกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ปัสสาวะน้อย ท้องผูก ถ้าร้อนมากขึ้นไปอีก อาจพบแผลใน ช่องปาก ปากเปื่อย เหงือกบวมแดง ชอบทานน้ำเย็น)

ไม่ควรกินฟักทองให้มาก เพราะฟักทองจัดเป็นยาาร้อน แม้คนปกติเอง ถ้ากินครั้งเดียวมากๆ ก็อาจจะทำให้มี อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้

จากสรรพคุณที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้ มีคุณประโยชน์มากมายและหลายหลาก แล้วคุณยังจะรีรอที่จะหาฟักทองมารับประทานกันอีกหรือ?

สรรพคุณฟักทอง

ภาพจากอินเตอร์เน็ต

 

สรรพคุณฟักทอง

ฟักทอง เป็นพืชผักสวนครัวเก่าแก่ที่คนโบราณรู้จักดีและนำมาใช้ประโยชน์ในการประกอบ อาหารทั้งคาวและหวานมากมายหลายชนิด มีลักษณะเป็นพืชเถาเลื้อย ปลูกง่ายให้ผลเร็ว โดยใช้เมล็ดปลูกในดินร่วนหรือดินปนทราย ฟักทองจะเจริญเติบโตแตกยอดผลิดอก ออกผลอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในหน้าฝนและเคล็ดลับที่จะทำให้ฟักทองออกผลดก ต้องหมั่นเด็ดยอดไปทำอาหารบ่อย ๆ

คน ส่วนใหญ่นิยมรับประทานฟักทองเป็นผัก ยอดอ่อน ใบ และดอกตูม นำไปลวกหรือต้มให้สุกรับประทานร่วมกับน้ำพริก ยอด ดอกรวมถึงผลของฟักทองสามารถนำไปใช้ในแกงเลียง แกงส้ม ผัดใส่ไก่หรือหมู ใส่ในแกงแคหรือแกงลาว แกงอ่อม แกงใส่กะทิ ต้มกะทิ แกงเผ็ด รวมทั้งมีการดัดแปลงเป็นผักใส่ในแกงไตปลาของภาคใต้ นอกจากนี้ยังทำเป็นของหวานได้ เช่น ฟักทองเชื่อม สังขยาฟักทองและฟักทองแกงบวบ ฟักทองนึ่งมะพร้าวเกลือ บัวลอยฟักทอง อาหารว่าง เช่น ข้าวเกรียบฟักทอง น้ำฟักทอง ส่วนเมล็ด ฟักทอง นำมาอบ หรือคั่วกับเกลือ ทานเป็นของขบเคี้ยว และส่วนเมล็ด ของฟักทองก็มีแป้งและน้ำมัน รสมัน

ประโยชน์ที่ได้จากฟักทอง รวมถึงสารอาหารบำรุงร่างกายต่างๆ ที่สำคัญได้แก่

วิตามินบี วิตามินเอ วิตามินซี และธาตุฟอสฟอรัส มีสารสังเคราะห์จากพืชประเภทแคโรทีนอยด์ เช่น เบต้าแคโรทีน ซึ่งมีคุณสมบัติเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ มีอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง มีส่วนช่วยลดโอกาสการเกิดมะเร็งได้ หาก กินฟักทองทั้งเปลือกจะได้ฤทธิ์ทางยา สามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาล ในเส้นเลือดป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงตับ ไต นัยน์ตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ใน บางครั้งบางเวลาเราอาจจะใช้เมล็ดฟักทอง ถ่ายพยาธิลำไส้ พยาธิตัวตืด หรือนำไปคั่วกินเป็นอาหารว่าง และสามารถป้องกันการเกิดนิ่ว ก็ให้รับประทานน้ำมันละหุ่งระบายตามเพื่อ ให้ถ่ายพยาธิออกมาได้ เนื่องจากเมล็ดฟักทองมีแร่ธาตุฟอสฟอรัส สังกะสีสูง ฟักทองเป็นพืชผักที่มีกากใยมากพอสมควร ช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น และไม่ทำให้อ้วน เพราะมีแคลอรีไม่สูงมาก ผู้ต้องการมีรูปร่างสวยงามควรบริโภคเป็นประจำและฟักทองยังมีวิตามินสูง ซึ่งช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังทำให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล และสายตาอีกด้วย

ใครจะทราบว่าฟักทองจะเหมาะสำหรับสตรีหลังคลอดบุตร

เนื่อง จากขาดธาตุฟอสฟอรัสและที่สำคัญเสี่ยงกับการเกิดหน้าท้องลาย มีฤทธิ์อุ่น ช่วยย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลัง ลดอาการอักเสบ แก้ปวด

ข้อควรระวังคนที่กระเพราะร้อน

(คือ มีอาการกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ปัสสาวะน้อย ท้องผูก ถ้าร้อนมากขึ้นไปอีก อาจพบแผลใน ช่องปาก ปากเปื่อย เหงือกบวมแดง ชอบทานน้ำเย็น) ไม่ควรกินฟักทองให้มาก เพราะฟักทองจัดเป็นยาร้อน แม้คนปกติเอง ถ้ากินครั้งเดียวมากๆ ก็อาจจะทำให้มี อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้

จากสรรพคุณที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้ มีคุณประโยชน์มากมายและหลายหลาก แล้วคุณยังจะรีรอที่จะหาฟักทองมารับประทานกันอีกหรือ?

ข้อมูลจาก สสส. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

การปลูกฟักทอง


การปลูกฟักทอง
ฟักทอง จัดเป็นผักในตระกูลแตงที่มีการใช้ประโยชน์มาอย่างยาวนานที่สุดชนิดหนึ่ง คาดการณ์ว่ามีการปลูกมานานไม่ต่ำกว่า 10,000 ปี สำหรับการปลูกฟักทองในประเทศไทยได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง คนไทยนิยมบริโภคฟักทองที่มีขนาดน้ำหนักผลเฉลี่ย 2-3 กิโลกรัม เปลือกมีสีเขียวคล้ำ ร่องผลเป็นพูสม่ำเสมอหรือเปลือกขรุขระแบบหนังคางคก เนื้อสีเหลืองหนาและเหนียว พันธุ์ฟักทองที่เกษตรกรไทยนิยมปลูกเป็นการค้าส่วนใหญ่จะซื้อพันธุ์ลูกผสมที่ มีราคาค่อนข้างแพงให้ผลผลิตสูงแต่ไม่สามารถเก็บเมล็ดไว้ทำพันธุ์ต่อได้ ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งเป็นพันธุ์ฟักทองที่ได้จากการผสมปล่อยและได้มีการคัด เลือกพันธุ์จนมีความนิ่งระดับหนึ่งเมื่อปลูกไปแล้วสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ ทำพันธุ์ต่อได้

ผศ.ดร.จา นุลักษณ์ ขนบดี จากสถาบันวิจัยและฝึกอบรมการเกษตรลำปาง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ได้มีการเผยแพร่ วิธีการปลูกฟักทองแบบปลอดภัย เริ่มต้นจากการปรับปรุงดินให้มีคุณภาพดีโดยใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพ มีการคลุมดินด้วยวัสดุจากธรรมชาติ เช่น ฟางข้าว ซากพืชและสัตว์ที่ผุพัง มีการปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อลดการระบาดของศัตรูพืชและมีการอนุรักษ์แมลงที่ เป็นประโยชน์ การราดน้ำปุ๋ยหมักชีวภาพลงในดินที่ใช้ปลูกฟักทองจะเป็นการเพิ่มปริมาณ จุลินทรีย์ให้แก่ดินบริเวณรากพืช จุลินทรีย์จะใช้อาหารจากปุ๋ยหมักชีวภาพและตรึงไนโตรเจนจากอากาศได้


ใน การเตรียมพื้นที่ปลูกฟักทอง เกษตรกรจะต้องทราบสภาพความเป็นกรด-ด่างของดิน ถ้าดินมีค่า pH ต่ำกว่า 5.5 จะต้องใส่ปูนขาวหรือปูนโดโลไมท์ อัตรา 100-200 กิโลกรัมต่อไร่ และจะต้องใส่ก่อนลงมือปลูกอย่างน้อย 1 อาทิตย์

หลังจากนั้นให้ไถพรวนผสมคลุกเคล้าให้ปูนผสมกับดินและตากดินทิ้งไว้ การไถพรวนตากดินควรให้มีความลึกอย่างน้อย 30 เซนติเมตร

สิ่ง สำคัญอีกประการหนึ่งที่เกษตรกรผู้ปลูกฟักทองควรคำนึงคือ ต้นฟักทองจะมีการเจริญเติบโตได้ดีที่อุณหภูมิเฉลี่ย 18-27 องศาเซลเซียส จัดเป็นพืชผักที่ไม่ทนต่อสภาพอากาศที่หนาวเย็นจัด พบว่าต้นฟักทองจะชะงักการเจริญเติบโตในสภาพอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส

หลังจากที่เพาะเมล็ดฟักทองในถาดเพาะกล้านาน เฉลี่ย 10-13 วัน หรือเมื่อต้นฟักทองมีใบจริง 1-2 ใบจึงทำการย้ายปลูก ปัจจุบันมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีความปลอดภัยต่อเกษตรกรและสิ่งแวดล้อมด้วย การรองก้นหลุมด้วยสารสตาร์เกิล จี อัตรา 2 กรัมต่อหลุม

พบ ว่าในระยะการเจริญเติบโตของต้นกล้าจนต้นฟักทองมีความสูงประมาณ 20-30 เซนติเมตร สารสตาร์เกิล จี จะป้องกันการทำลายของแมลงปากดูดทุกชนิดรวมถึงกำจัดเต่าแตงที่เข้ามาทำลายใบ ฟักทองได้ด้วย ในการปลูกฟักทอง ในเชิงพาณิชย์แนะนำให้ใช้ระยะปลูกระหว่างต้น 1 เมตร ระยะระหว่างแถว 4 เมตร พื้นที่ 1 ไร่ จะปลูกได้ประมาณ 400 ต้น.

 
ฟักทอง จัด เป็นผักในตระกูลแตงที่มีการใช้ประโยชน์มาอย่างยาวนานที่สุดชนิดหนึ่ง คาดการณ์ว่ามีการปลูกมานานไม่ต่ำกว่า 10,000 ปี สำหรับการปลูกฟักทองในประเทศไทยได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง คนไทยนิยมบริโภคฟักทองที่มีขนาดน้ำหนักผลเฉลี่ย 2-3 กิโลกรัม เปลือกมีสีเขียวคล้ำ ร่องผลเป็นพูสม่ำเสมอหรือเปลือกขรุขระแบบหนังคางคก เนื้อสีเหลืองหนาและเหนียว พันธุ์ฟักทองที่เกษตรกรไทยนิยมปลูกเป็นการค้าส่วนใหญ่จะซื้อพันธุ์ลูกผสมที่ มีราคาค่อนข้างแพงให้ผลผลิตสูงแต่ไม่สามารถเก็บเมล็ดไว้ทำพันธุ์ต่อได้ ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งเป็นพันธุ์ฟักทองที่ได้จากการผสมปล่อยและได้มีการคัด เลือกพันธุ์จนมีความนิ่งระดับหนึ่งเมื่อปลูกไปแล้วสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ ทำพันธุ์ต่อได้

การปลูกฟักทอง
การเตรียมดิน
การ ปลูกฟักทองคล้ายๆ กับแตงโม ควรขุดไถดินลึกประมาณ 25-30 ซม. เพราะเป็นพืชที่มีระบบรากลึก ควรตากดินทิ้งไว้ 5-7 วัน เพื่อฆ่าเชื้อโรคและวัชพืชได้บ้าง ควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก เพื่อปรับปรุงสภาพดินให้ร่วนซุย และเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้ดิน แล้วจึงย่อยพรวนดินให้ร่วนซุยเก็บเศษวัชพืชต่างๆ ออกจากแปลงให้หมด




การปลูก
พันธุ์ที่มีลำต้นเลื้อยและให้ผลใหญ่ ใช้เนื้อที่ปลูกมาก โดยใช้ระยะปลูก 3x3 เมตร
พันธุ์ที่มีทรงต้นพุ่ม ให้ผลขนาดเล็ก ใช้ระยะปลูก 75x150 ซม. (พันธุ์เบา)
ใช้ วิธีหยอดหลุมปลูก หลุมละ 3-5 เมล็ด ลึกประมาณ 3-5 ซม. แล้วกลบหลุม ถ้ามีฟางข้าวแห้ง ให้นำมาคลุมแปลงปลูก เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหน้าดิน และเมล็ดพันธุ์จะงอกเป็นต้นกล้า ตั้งตัวได้เร็วการหยอดหลุมปลูกในแปลง จะได้ต้นกล้าที่แข็งแรง และโตเร็วกว่า การย้ายกล้าจากถุงมาปลูก หากหลุมใดไม่งอก แม้จะนำมาปลูกซ่อม ก็จะเจริญไม่ทัน แต่หากว่างไว้ จะกินเนื้อที่ว่างมาก ควรปลูกซ่อม แต่จะเก็บผลได้ช้ามาก

การดูแลรักษาและใส่ปุ๋ย
1. เมื่อต้นกล้างอกจะมีใบจริง 2-3 ใบแล้ว ควรถอนแยกต้นที่ไม่สมบูรณ์ทิ้งไป เหลือต้นที่สมบูรณ์แข็งแรง เหลือหลุมละ 2 ต้น และรดน้ำทุกวัน

2. เมื่อต้นกล้าเจริญจนไม่มีใบจริง 4 ใบ ช่วงนี้ให้ใส่ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟตหรือปุ๋ยผัก (21-0-0) ละลายน้ำแล้วใช้รดต้นฟักทอง ต้องรดน้ำทุกวัน

3. เมื่อฟักทองเริ่มออกดอก ใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 (หรือสูตรใกล้เคียงกัน เช่น 13-13-27 หรือ 14-14-21) โรยรอบๆ ต้นแล้วรดน้ำตามและใส่ปุ๋ยอีกครั้งเมื่อฟักทองเริ่มติดผลอ่อน

4. พันธุ์ฟักทองที่เป็นพันธุ์หนักให้ผลโต อายุเก็บเกี่ยวยาวนาน ดังนั้นการใส่ปุ๋ยให้ฟักทองพันธุ์หนักควรใส่มากกว่าพันธุ์เบา

5. การรดน้ำต้องรดน้ำทุกวัน จนคะเนว่าอีก 15 วัน จะเก็บผลแก่ได้ จึงเลิกรดน้ำ




ประโยชน์ของ การปลูกฟักทอง

ฟักทอง มีกากใยสูง อุดมด้วยวิตามินเอและสารต่อต้านการผสมกับออกซิเจนกับเกลือแร่ และมี “กรดโปรไพโอนิค” กรดนี้ทำให้ทำให้เซลล์มะเร็งให้อ่อนแอลง

ประโยชน์ทางยา

ส่วนที่ใช้เป็นยา เมล็ด ราก ขั้ว น้ำมันจากเมล็ด เยื่อกลางผลยางรสและสรรพคุณในตำรายาไทย
เมล็ด รสมัน ขับพยาธิตัวตืด ขับปัสสาวะ บำรุงร่างกาย แก้พิษปวดบวม
ราก รสเย็น ต้มน้ำดื่ม บำรุงร่างกาย แก้ไอ ถอนพิษของฝิ่น ดับพิษสัตว์กัดต่อย
ขั้ว รสเย็น ฝนกับมะนาวผสมใยฝ้ายเผาไฟ รับประทานแก้พิษกิ้งกือกัด
น้ำมันจากเมล็ด รสหวานมัน รับประทานบำรุงประสาท
เยื่อผลกลาง รสหวานเย็น พอก แก้ฟกช้ำ แก้ปวดอักเสบ
ยาง แก้พิษผื่นคัน เริมและงูสวัด