Thursday, October 25, 2012

การปลูกฟักทอง

การปลูกฟักทอง

การเพาะปลูก การปลูกฟักทอง



ฟักทอง จัดเป็นผักในตระกูลแตงที่มีการใช้ประโยชน์มาอย่างยาวนานที่สุดชนิดหนึ่ง คาดการณ์ว่ามีการปลูกมานานไม่ต่ำกว่า 10,000 ปี สำหรับการปลูกฟักทองในประเทศไทยได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง คนไทยนิยมบริโภคฟักทองที่มีขนาดน้ำหนักผลเฉลี่ย 2-3 กิโลกรัม เปลือกมีสีเขียวคล้ำ ร่องผลเป็นพูสม่ำเสมอหรือเปลือกขรุขระแบบหนังคางคก เนื้อสีเหลืองหนาและเหนียว พันธุ์ฟักทองที่เกษตรกรไทยนิยมปลูกเป็นการค้าส่วนใหญ่จะซื้อพันธุ์ลูกผสมที่ มีราคาค่อนข้างแพงให้ผลผลิตสูงแต่ไม่สามารถเก็บเมล็ดไว้ทำพันธุ์ต่อได้ ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งเป็นพันธุ์ฟักทองที่ได้จากการผสมปล่อยและได้มีการคัด เลือกพันธุ์จนมีความนิ่งระดับหนึ่งเมื่อปลูกไปแล้วสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ ทำพันธุ์ต่อได้

ผศ.ดร.จานุลักษณ์ ขนบดี จากสถาบันวิจัยและฝึกอบรมการเกษตรลำปาง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ได้มีการเผยแพร่ วิธีการปลูกฟักทองแบบปลอดภัย เริ่มต้นจากการปรับปรุงดินให้มีคุณภาพดีโดยใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพ มีการคลุมดินด้วยวัสดุจากธรรมชาติ เช่น ฟางข้าว ซากพืชและสัตว์ที่ผุพัง มีการปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อลดการระบาดของศัตรูพืชและมีการอนุรักษ์แมลงที่ เป็นประโยชน์ การราดน้ำปุ๋ยหมักชีวภาพลงในดินที่ใช้ปลูกฟักทองจะเป็นการเพิ่มปริมาณ จุลินทรีย์ให้แก่ดินบริเวณรากพืช จุลินทรีย์จะใช้อาหารจากปุ๋ยหมักชีวภาพและตรึงไนโตรเจนจากอากาศได้

ในการเตรียมพื้นที่ปลูกฟักทอง เกษตรกรจะต้องทราบสภาพความเป็นกรด-ด่างของดิน ถ้าดินมีค่า pH ต่ำกว่า 5.5 จะต้องใส่ปูนขาวหรือปูนโดโลไมท์ อัตรา 100-200 กิโลกรัมต่อไร่ และจะต้องใส่ก่อนลงมือปลูกอย่างน้อย 1 อาทิตย์

หลังจากนั้นให้ไถพรวนผสมคลุกเคล้าให้ปูนผสมกับดินและตากดินทิ้งไว้ การไถพรวนตากดินควรให้มีความลึกอย่างน้อย 30 เซนติเมตร

สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่เกษตรกรผู้ปลูกฟักทองควรคำนึงคือ ต้นฟักทองจะมีการเจริญเติบโตได้ดีที่อุณหภูมิเฉลี่ย 18-27 องศาเซลเซียส จัดเป็นพืชผักที่ไม่ทนต่อสภาพอากาศที่หนาวเย็นจัด พบว่าต้นฟักทองจะชะงักการเจริญเติบโตในสภาพอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส

หลังจากที่เพาะเมล็ดฟักทองในถาดเพาะกล้านานเฉลี่ย 10-13 วัน หรือเมื่อต้นฟักทองมีใบจริง 1-2 ใบจึงทำการย้ายปลูก ปัจจุบันมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีความปลอดภัยต่อเกษตรกรและสิ่งแวดล้อมด้วย การรองก้นหลุมด้วยสารสตาร์เกิล จี อัตรา 2 กรัมต่อหลุม

พบว่าในระยะการเจริญเติบโตของต้นกล้าจนต้นฟักทองมีความสูงประมาณ 20-30 เซนติเมตร สารสตาร์เกิล จี จะป้องกันการทำลายของแมลงปากดูดทุกชนิดรวมถึงกำจัดเต่าแตงที่เข้ามาทำลายใบ ฟักทองได้ด้วย ในการปลูกฟักทอง ในเชิงพาณิชย์แนะนำให้ใช้ระยะปลูกระหว่างต้น 1 เมตร ระยะระหว่างแถว 4 เมตร พื้นที่ 1 ไร่ จะปลูกได้ประมาณ 400 ต้น.

ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ
ประโยชน์ของ การปลูกฟักทอง
ฟักทองมีกากใยสูง อุดมด้วยวิตามินเอและสารต่อต้านการผสมกับออกซิเจนกับเกลือแร่ และมี “กรดโปรไพโอนิค” กรดนี้ทำให้ทำให้เซลล์มะเร็งให้อ่อนแอลง

ประโยชน์ทางยา

ส่วนที่ใช้เป็นยา เมล็ด ราก ขั้ว น้ำมันจากเมล็ด เยื่อกลางผล ยาง

รสและสรรพคุณในตำรายาไทย

เมล็ด รสมัน ขับพยาธิตัวตืด ขับปัสสาวะ บำรุงร่างกาย แก้พิษปวดบวม

ราก รสเย็น ต้มน้ำดื่ม บำรุงร่างกาย แก้ไอ ถอนพิษของฝิ่น ดับพิษสัตว์กัดต่อย

ขั้ว รสเย็น ฝนกับมะนาวผสมใยฝ้ายเผาไฟ รับประทานแก้พิษกิ้งกือกัด

น้ำมันจากเมล็ด รสหวานมัน รับประทานบำรุงประสาท

เยื่อผลกลาง รสหวานเย็น พอก แก้ฟกช้ำ แก้ปวดอักเสบ

ยาง แก้พิษผื่นคัน เริมและงูสวัด

ฟักทอง เต็มเปี่ยมด้วยประโยชน์

ฟักทอง


          หนึ่งในพืชสีเหลืองที่เรามักจะเห็นคนนำมาประกอบอาหารอยู่บ่อย ๆ ก็คือ "ฟักทอง" นั่นเอง เพราะ "ฟักทอง" สามารถประกอบอาหารคาว-หวานได้สารพัดเมนู จึงไม่แปลกที่ "ฟักทอง" จะเป็นอาหารจานโปรดของใครหลายคน

          แล้วรู้ไหมคะว่า "ฟักทอง" นอกจากอิ่มอร่อยแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาอีกต่างหาก เอ้า...ถ้ายังไม่ทราบวันนี้เราขอเอาใจคนรัก "ฟักทอง" ด้วยการนำเรื่องราวประโยชน์ของ "ฟักทอง" มาเสิรฟ์ถึงมือคุณเลยค่ะ

          ฟักทอง เป็นพืชตระกูลมะระ ชนิดไม้เถาขนาดใหญ่ ผิวมีลักษณะขรุขระ เนื้อในสีเหลืองนิ่ม มีเมล็ดสีขาวแบน ๆ ติดอยู่ ซึ่งแต่ละส่วนของ "ฟักทอง" มีสรรพคุณทางมากมาย คือ

           เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูง รวมทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง และที่จะลืมไปไม่ได้เลยก็คือ "เบต้าแคโรทีน" ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง สามารถช่วยลดการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้ แถมเบต้าแคโรทีน ยังช่วยต้านความชรา ป้องกันโรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเมื่อยของข้อเข่า และบั้นเอวได้เป็นอย่างดี

           เปลือกฟักทอง มีฤทธิ์ทางยามากมาย หากทานฟักทองทั้งเปลือก จะสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

           ใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง แต่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ

           ดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย

           เมล็ด ประกอบด้วยแป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน รวมทั้งสารที่ชื่อว่า "คิวเคอร์บิติน" (cucurbitine) ซึ่ง มีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี และยังช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดนิ่ว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ น้ำมันจากเมล็ดฟักทองยังช่วยบำรุงประสาทได้ดี และยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากของผู้ชายขยายใหญ่ ขึ้น และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ

           ราก น้ำมาต้มน้ำใช้ดื่มแก้อาการไอได้ และยังช่วยบำรุงร่างกาย ถอนพิษของฝิ่นได้

           เยื่อกลางผล สามารถนำมาพอกแผล แก้อาการฟกช้ำ อาการปวด อักเสบได้


ฟักทอง


ฟักทอง อาหารเพื่อคุณผู้หญิง

          และสำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องการลดน้ำหนัก "ฟักทอง" นี่แหละค่ะคือ "ตัวช่วย" ที่ดีตัวหนึ่งเลยทีเดียว เพราะฟักทองเป็นพืชที่มีกากใยมาก และมีแคลอรีไม่สูง ไขมันน้อย จึงไม่ทำให้อ้วน นอกจากนี้ในฟักทองมีวิตามินหลายชนิดในปริมาณสูง จะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณของคุณสาว ๆ มีน้ำมีนวล แถมสายตายังดูปิ๊งอีกต่างหาก

          นอกจากนี้ สำหรับสตรีหลังคลอดบุตร "ฟักทอง" ซึ่งมีฤทธิ์อุ่น จะช่วยย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลัง ลดอาการอักเสบ แก้ปวดได้อีกด้วย

ข้อควรระวังในการทาน "ฟักทอง"

          เนื่องจาก "ฟักทอง" มีฤทธิ์อุ่น ดังนั้นคนที่ "กระเพาะร้อน" คือมีอาการเช่นกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก เป็นแผลในช่องปาก เหงือกบวม ไม่ควรทานฟักทองมากเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้ร่างกายร้อนขึ้นได้นั่นเอง หรือแม้แต่ในคนปกติ การทานฟักทองมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้เช่นกัน

          ได้เห็นประโยชน์ดี ๆ ของ "ฟักทอง" แล้วอย่าลืมหามาทานกันนะคะ